เพื่อเป็นการสนองนโยบายการท่องเที่ยวแบบ 7 Greens ทางรายการ “สมุดโคจร On The Way” จึงได้จับมือกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) พาสื่อมวลชน ร่วมทริปสุดคูล ที่จังหวัดพังงา ที่ซึ่งมีป่าชายเลนเยอะที่สุดในประเทศไทย และ เมืองตะกั่วป่าก็ได้ชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิต เหมือนที่เค้าเรียก…เที่ยวครบ จบในที่เดียว ทั้ง ป่า ทะเล แม่น้ำ ภูเขา ที่นี่มีทุกอย่าง….
คณะสื่อมวลชนได้ออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จากสนามบินดอนเมืองมุ่งหน้าสู่สนามบินนานาชาติภูเก็ต จากนั้นมุ่งหน้าไปยังเมืองตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เยี่ยมชมความเก่าแก่ของสะพานเหล็กโคกขนุน หรือ พานเหล็ก บุญสูง ปัจจุบันยังคงเป็นเส้นทางสันจรไปมาของชาวบ้านอยู่ รวมถึงถนนคนเดินที่ยังคงความคลาสสิกด้วยอาคารสไตล์ ชิโน-โปรตุกีส หรือ ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ชิโน-ตะกั่วป่า ทำให้บ้านเรือนของเมืองตะกั่วป่า มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะบริเวณ ถนนอุดมธารา และ บริเวณถนนศรีตะกั่วป่า (ตลาดใหญ่) ตึกเก่าเมืองตะกั่วป่า มีลักษณะเป็นตึกแถวสองชั้น ก่ออิฐถือปูน ด้านหน้าอาคารชั้นล่าง มีทางเดินเท้าเชื่อมต่อกันเป็นระยะๆ มุงหล ซึ่งบางบ้านยังเปิดต้อนรับให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมสถาปัตยกรรม หรือจะใส่ชุดยะหยา บะบ๋า เดินถ่ายรูปชิคๆก็เก๋ไปอีกแบบ
พอฝนเริ่มโปรยปรายก็ได้เวลามุ่งหน้าสู่ ธารมรกต หรือ คลองนางย่อน เพื่อไปล่องแพไม้ไผ่กัน จุดเด่นของที่นี่คือน้ำเป็นสีเขียวคล้ายมรกต โดยการล่องแพของที่นี่ มีลักษณะเป็นแพไม้ไผ่ ที่เกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน ทำขึ้นมาเอง ลำธารกินระยะทางยาวประมาณ 3 กิโลเมตร และใช้เวลาในการล่องประมาณ 1ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจ อย่าง ลานหินรูปหัวใจ มีความเชื่อว่าถ้าใครมาที่นี่แล้วหาหินรูปหัวใจเจอ มักจะสมหวังในเรื่องความรัก ลานหินแห่งนี้ จึงเต็มไปด้วยปราสาทหินรูปหัวใจที่นักท่องเที่ยวมาก่อไว้ ธารมรกต ซึ่งคณะเราเจอแจ็คพอตเป็นฝนห่าใหญ่ แต่นั่นหาใช่ปัญหาไม่ เพราะเรายังคงทำตามแผนเดิม เพิ่มเติมคือน้ำไหลแรงขึ้น ตื่นเต้นไปอีกแบบ เหมือนกำลังเล่นล่องแก่ง แน่นอนว่าทุกคนใส่เสื้อชูชีพเพื่อความปลอดภัย แล้วกิจกรรมนี้ก็ผ่านไปด้วยดีแบบเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้า….
หลังจากที่ทุกคนตัวเปียกปอนจนหนาวสั่น ก็ได้เวลาเดินทางไปยังที่พัก “บียอน รีสอร์ท เขาหลัก” รีสอร์ทริมชายหาดสุดแสนโรแมนติก ตั้งอยู่บนหาดปากวีป ในจังหวัดพังงา ภายใต้การ บริหารงานโดยเครือกะตะกรุ๊ป รีสอร์ท ประเทศไทย แน่นอนว่าแม้แต่รีสอร์ท ก็ตรงคอนเซปต์ของทริปนี้คือ ท่องเที่ยวแบบ 7 Greens
เพราะที่นี่เค้าได้รับรางวัลเหรียญทองจาก Travelife Awards ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับ ผู้ประกอบการในธุรกิจท่องเที่ยว ที่ตระหนักในเรื่องของการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ด้วยการดำเนินนโยบายสิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่อง “บียอนรีสอร์ท เขาหลัก นอกจากจะมีคอนเซปต์“ Romancing The Beach รีสอร์ทริมชายหาดสุดแสนโรแมนติก” อีกด้วยล่ะคร้า
นอนหลับพักผ่อนเอาแรงกันเต็มที่แล้วก็ลุยกันต่อที่ คลองสังเน่ห์หรือ Little Amazon ตะกั่วป่า ตั้งอยู่ใน ต. บางนายสี เป็นคลองสายสั้นๆ ที่มีต้นน้ำมาจาก เขาบาง เต่าก่อนจะไปสิ้นสุดที่แม่น้ำตะกั่วป่า ที่นี่เป็นผืนป่าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความ หลากหลายทางชีวภาพ พืชพรรณแปลกๆที่ขึ้นอยู่ ตามริมฝั่งคลองสังเน่ห์ นั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหลด้วยความหลากหลาย นักท่องเที่ยวที่มา สัมผัสผืนป่าแห่งนี้ จึงตั้งฉายา ว่าเป็น Little Amazon นั่นเอง
ซึ่งไฮไลต์ของการล่องเรือชมความความสมบูรณ์ของธรรมชาติที่ คลองสังเน่ห์ คือการได้ชมต้นไทร โบราณ อายุนับร้อยปีที่แผ่กิ่งก้านสาขา อยู่ริมคลอง บางช่วงก็ห้อยระย้าตรงหน้าเหมือนม่านอุโมงค์ต้นไทรให้ล่องนั่ง เรือผ่านไป ถือว่าเป็นภาพที่แปลกตา สามารถหาชมได้เฉพาะที่คลองสังเน่ห์แห่งนี้ เท่านั้น รวมถึงต้นไม้น้ำ อย่างเช่น ต้นตีนเป็ดน้ำ และอีกหนึ่งไฮไลต์ของการล่องเรือ คือการได้ชมงู ทั้งงูเขียว งูปล้องทอง งูเหลือม ซึ่งไม่ต้องกลัวว่าจะอันตรายเพราะเราล่องดูงูอยู่ห่างๆ เพราะในช่วงกลางวันงูจะนอนหลับนิ่ง ขดกับต้นไม้เพื่อรอเวลาออกหากินในตอนกลางคืน นอกจากนี้ ยังมีนกเงือก สัตว์สงวนหายาก ซึ่งจะมากินลูกไทร นกกระสาและนกอีกหลากหลายชนิด ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติจะบินมาหาอาหารกิน หากมาในช่วงจังหวะที่ดีก็มีโอกาสได้เห็นนกเหล่านั้นบินโฉบผ่านไปมาให้ได้ชมแบบใกล้ชิด แต่ถ้าในช่วงฤดูร้อนก็จะได้เห็นฝูงลิงมากระโดดเล่นน้ำกันอีกด้วย และด้วยความลึกลับ แฝงไปด้วยเสน่ห์และความสวยงามทำให้ ที่นี่เคยใช้เป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “พี่มากพระโขนง”
ร่องเรือชมป่าอันสมบูรณ์เสร็จ เราก็หนีฝนมายัง บ้านท่าดินแดง ตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ต.ลำแก่น อ.ท้ายเหมือง พื้นที่ส่วนใหญ่ ของหมู่บ้านเป็นพื้นที่ติดกับทะเล มีป่าชายเลน และป่าโกงกางที่อุดมสมบูรณ์มีลักษณะเป็นแหลมยื่นออกไปในทะเล เหมาะแก่การเที่ยวชมธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง แต่ในปี พ.ศ.2547 เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ ชุมชนบ้านท่าดินแดงเกิดน้ำทะเลท่วมสูงทั่วทั้งหมู่บ้าน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสียหายไปจนเกือบหมด และได้มีการฟื้นฟูธรรมชาติโดยการ ร่วมมือกันของประชาชนในพื้นที่จนธรรมชาติกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง!!!
และหลังเกิดเหตุการณ์สึนามิทรัพยากรถูกทำลายจนเกือบหมด ชาวบ้านจึงเปลี่ยนมาปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์ เพื่อแก้ไขปัญหาดินที่กลายเป็นดินทราย แทบทั้งหมด ทุกวันนี้ในชุมชนปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ประมาณ 100 โรงเรือน ทั้งผักกาดขาว คะน้า กวางตุ้ง ผักสลัด และก่อตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนปลูกผักบ้านท่าดินแดง เหมืองแร่โบราณ เมื่อก่อนละแวกนี้ จะนิยมทำเหมืองแร่กันมาก และทิ้งร่องรอย ประวัติศาสตร์ในยุคเฟื่องฟูของการทำเหมืองแร่เอาไว้ให้ได้ชมกัน ส่วนใหญ่ที่นี้จะเป็นแร่ดีบุก โดยมีผู้หลักผู้ใหญ่ขอทางชุมชนมาสาธิตวิธีการร่อนให้ได้ดู แน่นอนว่านักท่องเที่ยวสามารถลองร่อนแร่ได้ด้วย
หลังจากกินข้าวกินปลากันเสร็จก็ได้เวลาลงเรือ (อีกแล้ว) เพื่อมุ่งหน้าสู่ ทุ่งหญ้าสะวันนา (เมืองไทย) สีทองเหลืองอร่ามเป็นทิวทัศน์เหมือนกับที่เห็นในสารคดีทุ่งสะวันน่าของแอฟริกา ทุ่งหญ้าแห่งนี้ความพิเศษ คือ สีหญ้าที่เปลี่ยนไปตามแสง เงา เมื่อผ่านหน้า ฝนทุ่งหญ้าจะเปลี่ยนจากสีเหลืองทองเป็นสีเขียว คือถ้าอยากได้ฟิวเหมือนที่แอฟริกา ต้องมาในช่วงหน้าร้อนรับรองว่าเด็ดจริง ห่างจากทุ่งหญ้าสะวันน่าไปไม่ไกล ก็คือเขา หน้ายักษ์หาดที่เขาว่าสวยไม่แพ้เกาะสวยๆ ในพังงาเลยทีเดียว
สำหรับใครที่อยากจะมาท่องเที่ยวชุมชนบ้านท่าดินแดง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ก็สามารถติดต่อได้ตามช่องทางนี้กันได้เลย https://www.facebook.com/khaonayaktour/ โทร : บังดีน : 086-237-0823 , บังโหรน : 084-443-3539 และ บังจิ๋ว : 086-274-7061
เช้าวันที่ 3 ของการเดินทางวันนี้เราออกจากที่พักกันแต่เช้าตรู่ มุ่งหน้าไปยัง บ้านโคกไคร ตำบลมะลุ่ย อำเภอทับปุด เพื่อทำสปาโคลนหาดทรายร้อน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “หาดน้ำร้อน” สปาธรรมชาติที่เกิดจาก รอยแยกของเปลือกโลก จะพบได้ตอนน้ำทะเลลดระดับ ทำให้บริเวณดังกล่าวเกิดน้ำทะเลร้อน ทรายร้อนและ โคลนร้อน ชาวบ้านในพื้นที่ใช้บำบัดโรคเหน็บชา ปวดเมื่อย หากได้มาเยือนในตอนเช้าจะพบหมอกควันสีขาวอยู่รายรอบบริเวณหาด โดย 1 เดือนจะทำกิจกรรมนี้ได้เพียง 10 วันเท่านั้น ระหว่าง 3 ค่ำถึง 7 ค่ำ นับเป็นความอัศจรรย์จากธรรมชาติ ที่นำมาบริการแก่นักท่องเที่ยว
ต่อจากการทำสปาโคลน พร้อมกับทานมื้อเช้ากันบนชายหาดแล้ว ก็แล่นเรือกับเข้าฝั่งเพื่อเปลี่ยนเป็นพายเรือคายักชมป่าโกงกาง เรียนรู้ชนิดและพันธุ์ไม้แปลกๆ พอพายเรือกันจนตัวไหม้แล้วก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยมาตลอดทริป นั้นคือการชมฟาร์มหอยนางรม ได้ช่วย พรีเว็ดดิ้งหอย หรือเรียกง่ายๆ ผสมพันธุ์หอยนั่นแหล่ะคร้า และ….และ…กินอาหารทะเล…บอกเลยว่าฟินกับการแทะปู และ กินหอยนางรมมาก นอกจากวันเดย์ทริปแล้วที่นี่ยังมี โฮมสเตย์ ไว้รองรับนักท่องเที่ยวอีกด้วยนะจ๊ะ ใครสนใจก็ติดได้ที่ท่องเที่ยวชุมชนบ้านโคกไคร ติดต่อ นายนิกร(บังอิบ) สาระการ โทร. 08-9290-9265 ,นายสมพร สาระการ โทร. 08 -7886-0465 Email :SOMPON_KCT@HOTMAIL.COM
ขอสรุปคร่าวๆของทริปนี้ กับระยะเวลาตลอดสามวันที่ผ่านมาเราได้เห็นธรรมชาติที่อยู่คู่กับชาวบ้าน พึ่งพาอาศัยกันและกันได้อย่างลงตัว ธรรมชาติความสวยงามของจังหวัดพังงา ที่มีหลากหลายให้ได้ท่องเที่ยว บางที่ออกจะแปลกใหม่เสียด้วยซ้ำ อย่างที่คลองสังเน่ห์ นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวกลับมีแต่ชาวต่างชาติมากกว่าชาวไทยด้วยซ้ำ บางที่เสน่ห์ของการท่องเที่ยวก็อยู่ใกล้ตัวเรามากๆ อย่างวิถีชีวิตของชาวบ้าน อาหารพื้นบ้าน ที่บางอย่างเราไม่เคยได้ลิ้มลอง และยังมีอีกหลายที่ ที่เรายังไม่ได้ไปสัมผัส พังงา…เราจะต้องได้เจอกันอีก(หลายครั้ง)แน่นอน