ศิลปินเพื่อนซี้ทรีโอ้ผู้คร่ำหวอดในวงการเพลงมานานกว่า 50 ปี “ปั่น- ไพบูลย์เกียรติ” “แต๋ม-ชรัส” และ “ตุ่น-พนเทพ” หรือ “ดึกดำบรรพ์ BOY BAND” กลับมารวมตัวกันพร้อมโชว์เพลงรักให้แฟนๆ หายคิดถึง กับคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบในรอบ 5 ปี “ดึกดำบรรพ์ BOY BAND Est. Since 1980” เมื่อวันเสาร์ที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา ณ โรงละครเคแบงก์ สยามพิฆเนศ
เปิดเบรกแรกด้วย “รักล้นใจ” “ทั้งรู้ก็รัก” และ “เพียงแค่ใจเรารักกัน” เป็นการเริ่มต้นบรรยากาศที่จะอบอวลไปด้วยรอยยิ้มอีกกว่า 2 ชั่วโมงนับต่อจากนี้ ก่อนจะเริ่มทักทายแฟนเพลงตามสไตล์ของ “ปั่น แต๋ม ตุ่น” ที่เรียกเสียงหัวเราะได้อย่างไม่ขาดสาย ไปกันต่อในช่วงเพลงโปรดตลอดกาล เริ่มด้วย “โอ้ใจเอ๋ย” “ชีวิตไร้สังกัด” และ “โชคชะตา วาสนา พรหมลิขิต” “A Tu Corazon” (สู่กลางใจเธอ) คั่นด้วยความสนุกชวนให้โยกตัวและปรบมือไปพร้อมกันใน “รักฉันนั้นเพื่อเธอ” กับท่อนเพลง “นะนะนะจ๊ะ” สุดฮิต ก่อนจะไปต่อในเพลง “ตลอดไป” และ “คนขี้เหงา”
อีกหนึ่งไฮไลต์ของคอนเสิร์ตครั้งนี้คือการได้แขกรับเชิญจากที่นั่งคนดูมาร่วมฟีทเจอริ่งในหลายๆ เพลง ชวนให้คิดถึงภาพวันวานและความสัมพันธ์สุดอบอุ่นของพี่ๆ ดึกดำบรรพ์และศิลปินรุ่นน้องมากมาย ไม่ว่าจะ “เท่ห์ อุเทน” ที่ได้ขึ้นมาร่วมร้องเพลงใหม่ล่าสุดของพี่แต๋ม อย่าง “รักเธอมากกว่าจักรวาล” หรือในช่วงของเพลงสากลที่ได้ “ชมพู ฟรุ้ตตี้” มาร่วมสร้างสีสันและเสียงปรบมือในเพลง “Shalala Lala” ปิดท้ายด้วย “กบ ทรงสิทธิ์” เจ้าของเพลง “ปาฏิหาริย์” ที่มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโชว์ครั้งนี้
นอกจากเพลงรักที่แสนคิดถึงที่พี่ๆ ดึกดำบรรพ์หยิบเอามาร้องในคอนเสิร์ตครั้งนี้กว่า 30 เพลง ทั้ง “กลับบ้านเรา” “บอกรัก” “เฝ้าคอย” “รักนิรันดร์” “เพราะฉะนั้น” “รักยืนยง” แฟนๆ ยังได้ฟังเพลงสากลอย่าง “In The Darkness of My Life” ซึ่งเป็นเพลงที่บันทึกความทรงจำมากมายของทั้งสามคนในช่วงเวลาที่เริ่มต้นฟอร์มวงดนตรีด้วยกัน รวมทั้ง “I Shall Sing” และ “In My Life” จากต้นฉบัสุดอมตะของ “Art Garfunke” และ “The Beatles” อีกด้วย
“หลับตา” เพลงสุดท้ายก่อนจากลากับแฟนๆ ด้วยรอยยิ้มและความอิ่มเอมใจ เป็นอีกครั้งในรอบ 5 ปีที่นอกจาก “ปั่น แต๋ม ตุ่น” จะได้กลับมารวมตัวกันแล้ว แฟนเพลงที่เติบโตมาในยุคเดียวกันก็เหมือนได้กลับมาเจอเพื่อนกลุ่มที่คุ้นเคย ซึ่งแม้เวลาจะผ่านไป แต่มิตรภาพก็ยังคงเป็นอมตะเหมือนกับหลายๆ เพลงที่เคยได้ฟังเมื่อหลายสิบปีก่อนและยังคงถูกเล่นอีกครั้งในคอนเสิร์ตครั้งนี้