กรุงเทพฯ 20 ตุลาคม 2564 – กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม(กสอ.) หรือ ดีพร้อม กระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าพัฒนาทักษะด้านการขายสินค้าออนไลน์ให้แก่ผู้ประกอบการที่กำลังมองหาช่องทางด้านการตลาดในรูปแบบของตลาดดิจิทัล ผ่านกิจกรรมเพิ่มศักยภาพ e-Commerce
ให้ดีพร้อมในยุคโควิด ภายใต้ โครงการ D-พร้อมสู้ อยู่ได้ ไปรอด กับการตลาดออนไลน์ 2.0 ในยุคโควิด ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จะช่วยพัฒนาทักษะด้านการขายสินค้าออนไลน์ให้แก่ผู้ประกอบการที่กำลังมองหาช่องทางด้านการตลาดในรูปแบบของตลาดดิจิทัลที่มีการลงทุนต่ำและมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 50 ล้านบาท
นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) หรือ ดีพร้อม ขานรับนโยบาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เข้าถึงช่องทางการทำตลาดออนไลน์ เนื่องจากคนไทยร้อยละ 56 ซื้อสินค้าผ่าน Social Commerce ในช่วงโควิดเพิ่มมากขึ้น สินค้าที่มีการซื้อขายในช่องทางดังกล่าว ร้อยละ 62 คือ เสื้อผ้า และร้อยละ 59 คือ ผลิตภัณฑ์ความงาม อาจกล่าวได้ว่า Social Commerce คือ โอกาสการซื้อขายในแหล่งที่ผู้ซื้อมากที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งเป็นช่องทางการทำธุรกิจที่มีแนวโน้มที่จะเห็นการเติบโตเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ร้านค้า หรือผู้ค้าขายจึงควรเข้ามาอยู่ในช่องทางดังกล่าว และในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ช่องทางออนไลน์ถือเป็นช่องทางที่สะดวกสบายและสามารถทำได้ทันที ซึ่งถือได้ว่าเป็นโอกาสสำคัญในการปรับตัวของผู้ประกอบการในการพัฒนาศักยภาพให้ รอด พร้อม โต ในสถานการณ์เช่นนี้
นายณัฐพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวที่โลกของเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกคน ทางดีพร้อมจึงเล็งเห็นโอกาสของการเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับผู้ประกอบในการสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงเป็นการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนของโลกในปัจจุบันซึ่งถือได้เป็นการยกระดับศักยการให้กับผู้ประกอบการไทย ทั้งนั้นทาง ดีพร้อม ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการเพิ่มโอกาส และศักยภาพให้กับผู้ประกอบ จึงได้เร่งการดำเนินกิจกรรมเพิ่มศักยภาพ e-Commerce ให้ดีพร้อมในยุคโควิด ภายใต้ โครงการ D-พร้อมสู้ อยู่ได้ ไปรอด กับการตลาดออนไลน์ 2.0 ในยุคโควิด หรือ DIProm Social Commerce ซึ่งดำเนินการส่งเสริมผ่านการเรียนรู้ในรูปแบบออนไลน์ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้
1. Online Training จัดฝึกอบรมออนไลน์ด้านการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทาง Social Commerce กับ 3 หลักสูตรเข้มข้น ซึ่งออกแบบให้เหมาะสมตามประเภทอุตสาหกรรมของกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1. หลักสูตรการอบรมสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแปรรูป 2. หลักสูตรการอบรมสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมแฟชั่นกับหลักสูตร 1.3 หลักสูตรการอบรมสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ
กับหลักสูตร โดนให้ความรู้ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนผู้ประกอบมีความรู้ความเข้าใจ และสามารถทำได้จริง โดย 1. การสร้างหน้าร้านบนโลกออนไลน์ 2.การทำการตลาดบน Social Media 3. การสร้างและรักษาฐานลูกค้า 4. การสร้างประสบการณ์การซื้อสินค้าออนไลน์ให้กับลูกค้า 5. การบริหารจัดการหีบห่อและจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้า 6. การบริการซื้อขายออนไลน์ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในสถานการณ์เช่นนี้ และต่อยอดให้เกิดการซื้อขายในยุค Next Normal ต่อไป โดยตั้งเป้าว่าจะมีสมัครเข้าร่วมพัฒนาทักษะกว่า 6,000 คน
2. Online Coaching การให้คำปรึกษาแนะนำแบบกลุ่มทางออนไลน์ด้านการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทาง Social Commerce โดยให้คำปรึกษา และแนะนำในด้านต่างๆ ดังนี้ 1.การวางกลยุทธ์ Digital Marketing อย่างครบวงจรและการเลือกช่องทางการทำการตลาดออนไลน์เต็มรูปแบบ 2. การสร้าง Brand Building & Brand Design 3. การสร้างเว็บไซต์ธุรกิจ 4. เทคนิคกลยุทธ์ทางการตลาดผ่าน social media 5. Content Marketing และการเขียน Content เพื่อการขาย 5. วิธีการสร้างประสบการณ์/รักษาฐานลูกค้า (Social Interaction) 6. การใช้โปรแกรมแต่งภาพ ทำรูปโฆษณาให้สวยงาม ซึ่งถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ และจำเป็นต่อการจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์แก่กลุ่มเป้าหมายที่ผ่านการคัดเลือก จำนวนไม่น้อยกว่า 600 คน แบ่งประเภทอุตสาหกรรมของกลุ่มเป้าหมาย
3. Market Testing การทดสอบการทำการตลาด โดยวิธีการ Influencer Marketing ซึ่งใช้คนที่มีชื่อเสียงในโซเชียลมาช่วยโปรโมท และให้ผู้ประกอบการเรียนรู้วิธีการดึงความสนใจของผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะนำข้อมูลที่ได้กลับมาพัฒนา และยอดต่อสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาดแก่กลุ่มเป้าหมายที่ผ่านการคัดเลือก จำนวนไม่น้อยกว่า 300 คน เพื่อช่วยกระตุ้นยอดขาย ประชาสัมพันธ์สินค้า และเป็นแนวทางแก่ผู้ประกอบการในการทำการตลาดผ่าน Social Commerce
“สำหรับกิจกรรมเพิ่มศักยภาพ e-Commerce ให้ผู้ประกอบมีความพร้อมในยุคโควิคนั้น ดีพร้อมมีความตั้งใจจะเข้าไปช่วยเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการมาส่งเสริมในด้านการขาย รวมทั้งเพิ่มช่องทางการสร้างรายได้ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวผู้ประกอบการที่เข้าร่วมจะสามารถนำความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำตลาดออนไลน์ไปปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจได้ และมีช่องทางการขายสินค้าผ่านตลาดออนไลน์เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งสามารถสร้างรายได้และผลกำไรให้กับธุรกิจเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะสามรถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท โดยคาดว่าผู้เข้าร่วมกว่า 6,000 คน” นายณัฐพล กล่าวทิ้งทาย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ กองพัฒนาดิจิทัลอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0 2430 6871-72 หรือติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ www.facebook.com/dipindustry และ www.diprom.go.th