“จีดีเอช” เปิดสัมภาษณ์พิเศษ ผู้กำกับและนักแสดงจากภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง “ร่างทรง” โดยมี โบ-ธนากร ชินกูล รับหน้าที่พิธีกร พูดคุยและเป็นตัวแทนถามคำถามเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องร่างทรง
ที่ เอส เอฟ เวิล์ด ซีเนม่า เซ็นทรัลเวิลด์ โดยมี โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล ผู้กำกับ และ 2 นักแสดง ญดา-นริลญา กุลมงคลเพชร, เอี้ยง-สวนีย์ อุทุมมา พร้อมด้วย คุณนา ฮง-จิน โปรดิวเซอร์ชื่อดังจากเกาหลี ที่เข้าร่วมสัมภาษณ์ผ่านระบบ Zoom จากประเทศเกาหลีใต้
1.คุณนา ฮง-จินสนใจมาร่วมงานกับ ผู้กำกับ โต้ง บรรจง ได้อย่างไร
“เมื่อหลายปีก่อน ผมได้เจอกับผู้กำกับบรรจงในงานอีเว้นท์ที่กรุงเทพเป็นครั้งแรก ตอนอยู่ในงานเราได้พูดคุยกันและรู้จักกัน มันเป็นความทรงจำที่ดีมาก รู้สึกประทับใจผู้กำกับบรรจงก่อนที่จะบินกลับเกาหลี และระหว่างขั้นตอนที่ผมกำลังเขียนบท เตรียมผลงานหนัง และกำลังเริ่มจะผลิต ผมลองพิจารณาดูว่าจะให้ใครมากำกับเรื่องนี้ อะไรจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แล้วอยู่ๆ ผมก็คิดถึงผู้กำกับบรรจงขึ้นมา ก็เลยติดต่อให้มากำกับหนังเรื่องนี้ ต้องขอขอบคุณทางผู้กำกับที่ตอบตกลงกลับมา ก็เลยได้ร่วมงานกันในเรื่องร่างทรงครับ”
2.พอได้มาร่วมงานกันแล้ว รู้สีกอย่างไรบ้าง
“ผลงานเรื่องนี้เป็นการผลิตร่วมกันระหว่างผมกับผู้กำกับบรรจง คุณบรรจงมาช่วยกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย จริง ๆ ตัวผมเองก็ทำงานกำกับภาพยนตร์มาเหมือนกัน ผมเองก็ได้เรียนรู้มากขึ้น ผมคิดว่าการที่ได้มาร่วมงานกับผู้กำกับที่มากความสามารถ จะเรียกว่าเป็นผู้กำกับอัจฉริยะก็ได้ ซึ่งมีอิทธิพลต่อการทำงานของผมในเรื่องต่อไป ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากคุณบรรจง ยิ่งพอได้ดูฟุตเทจที่ผู้กำกับส่งมา มันทำให้หัวใจผมเต้นตึกตักตลอดเลยครับ สรุปคือเป็นช่วงเวลาที่นึกถึงแล้วมีแต่ความทรงจำดี ๆ “
3.การที่โต้ง บรรจง ได้มาร่วมงานกับคุณนา ฮง-จิน ผู้กำกับที่เราชื่นชอบ รู้สึกอย่างไรบ้าง
โต้ง บรรจง
“รู้สึกคุ้มค่ามากเลยครับ คุ้มตั้งแต่ยังไม่ได้ออกฉายด้วยซ้ำ เหมือนทุกอย่างที่เราได้ทำมากับเขา คือการเรียนรู้หมดเลย คือเขาละเอียดมากตั้งแต่สคริปต์ อย่างการคอมเมนต์บท ถึงขั้นต้องแยกแอทแทชไฟล์ แยกออกมาสามไฟล์ เพื่อพูดในคนละแง่มุมกัน ในแง่โครงสร้าง ความสยอง ปรัชญาของหนัง ถกกันขนาดนั้นเลย ดีเทลมันเยอะมาก ยิ่งพอเริ่มได้ถ่ายทำ แต่ละคำแนะนำของเขามันเกินกว่าเราจะอิมเมจิ้นได้จริง ๆ แบบว่าไปสุดมาก ยิ่งทำให้เรานับถือเขามากขึ้น รู้เลยว่าทำไมเขาถึงไปได้ในระดับนั้น”
4.หนังเรื่อง “The Wailing” (เดอะ เวริ่ง) มีอิทธิพลต่อหนังเรื่องร่างทรงอย่างไรบ้างทั้ง 2 เรื่องมีความเหมือนหรือความต่างกันอย่างไร
คุณนา ฮง-จิน
“เริ่มแรกผมคิดว่าจะทำเป็นเหมือน Spin-off ของเรื่อง The Wailing ผมก็เลยนั่งคิดคนเดียว แล้วก็ปรึกษากับทีมเพื่อเขียนผลงานออกมา แม้ว่าสไตล์อาจจะต่างจากเรื่อง The Wailing แต่คิดว่าเป็นผลงานที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันครับ แต่ว่าหลังจากส่งไม้ต่อให้ผู้กำกับบรรจงไปแล้วก็เป็นเรื่องที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงครับ ฉะนั้นเรื่องร่างทรง ก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่อง The Wailing เลยครับ”
โต้ง-บรรจง
“ผมว่า The Wailing มีอิทธิพลต่อหนังแน่ ๆ ครับ แต่ว่าตอนทำหนังร่างทรง เราไม่ได้คิดว่าจะสืบทอด หรือจะต่อยอดเป็นภาค 2 จากเรื่อง The Wailing แน่ ๆ เพราะด้วยตัวเรื่องร่างทรง มันมีดราม่าของตัวมันเอง และด้วยความที่เรื่องราวเกิดขึ้นในประเทศไทย ผมว่ามันมีเอกลักษณ์ในแบบของเราแน่นอน ถึงแม้ความเชื่อมโยงบางอย่าง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านต่างจังหวัดเล็ก ๆ และมีเรื่องร่างทรง ความเชื่อ มันคล้ายกันแบบนี้แหละครับ แต่สไตล์การถ่ายทำ ความเข้มข้นในอีกแบบนึง มันคนละรสชาติเลยครับ”
5.เรื่องร่างทรง คุณนา ฮง-จิน มีส่วนร่วมมากน้อยแค่ไหน และมีส่วนร่วมในเรื่องใดบ้าง
คุณนา ฮง-จิน
“ผมก็พยายามจะซัพพอร์ททางผู้กำกับบรรจงให้ได้มากที่สุดครับ สิ่งที่ผู้กำกับต้องการที่จะทำและเสนอมา ผมก็พร้อมจะช่วยเหลือในส่วนนั้น ส่วนใหญ่จะให้ทางผู้กำกับบรรจงทำเองทั้งหมดครับ แต่ผมจะมีหน้าที่คอยดูแลแนวทาง และซัพพอร์ต เรื่องที่ยาก ๆ”
6.โต้งคิดว่าจุดที่น่าสนใจของหนังร่างทรง ที่น่าจะแตกต่างจากหนังไทยในเรื่องอื่น ๆ ในแนวนี้คืออะไร
“ผมว่าเป็นรสชาติที่ค่อนข้างแปลกใหม่ อย่างแรกคือมันไม่ใช่หนังผีที่เป็นคนตายแล้วกลับมาหลอก เป็นนิยามใหม่ของหนังสยองขวัญเหมือนกัน เราได้นำความเชื่อของคนอีสานที่ว่า ผีมีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง ต้นไม้ ใบหญ้า สัตว์ หรือผู้คนมีหมดเลย และมันเชื่อมโยงกับสิ่งที่เข้ามาอยู่ในตัวมิ้งว่ามันคืออะไรกันแน่ ความน่ากลัวของเรื่องนี้คือปริศนาอีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่ผีออกมาหลอกไปมา ผมว่าแค่อันนี้ก็เป็นมิติใหม่ที่ดึงดูด ให้ผมอยากทำเรื่องนี้”
7.คุณนา ฮง-จิน คิดว่าหนังเรื่องนี้แตกต่างจากหนังไทยเรื่องอื่น ๆ อย่างไรบ้าง
คุณนา ฮง-จิน
“หนังเรื่องนี้ผมวางแผนสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความเป็น international ทั่วโลก ไม่ใช่แค่เป็นหนังไทยหรือหนังเกาหลี และถ้าจะให้พูดถึงหนังเรื่องนี้มันไม่ได้มีขั้นตอนอะไรที่มากมาย ความสำคัญอยู่ที่ตัวคน ตัวแสดงเลยครับ เป็นความรู้สึกเหมือนการไม่ใช้อุปกรณ์เสริมใดแต่สรรสร้างทุกอย่างด้วยมือเปล่า เป็นหนังที่ให้ฟีลแบบนั้นครับ พอคิดถึงหนังเรื่องอื่นๆ แนวนี้ ก็ทำให้คิดว่าจะมีหนังเรื่องไหนที่ใส่ความเป็นอาร์ตได้เหมือนเรื่องนี้ไหมนะ เรื่องนี้ก็เหมือนผลงานชั้นยอดชิ้นหนึ่งที่เป็นที่น่าจดจำ เป็นหนังที่จะถูกพูดถึงในวงการหนังสยองต่อไปอย่างแน่นอน และจะถูกพูดถึงไม่ว่าเมื่อไรก็ตามครับ”
8.หลังจากเรื่องนี้มีโปรเจกต์ไหนที่อยากทำ หรืออยากจะไปร่วมงานกับประเทศไหนอีกหรือไม่
คุณนา ฮง-จิน
“ผมอยากไปถ่ายหนังในประเทศไทยครับ อยากจะลองสลับหน้าที่กันดูแล้วให้คุณบรรจงมาช่วย Producing หนังให้สักครั้งหนึ่งครับ ถ้าได้ไปถ่ายทำหนังในประเทศไทยก็คงจะดีมากเลยครับ”
9.คุณนา ฮง-จิน คิดว่าหนังผีไทยกับเกาหลีแตกต่างกันอย่างไร
“สำหรับหนังสยองขวัญของเกาหลี หนังเรื่อง tales of two sister ที่กำกับโดย คิมจีอุน น่าจะ 10 กว่าปีได้ ตลอดสิบปีที่ผ่านมาน่าจะยังไม่มีหนังสยองขวัญเรื่องไหนมาทำลายสถิติได้เลย ในประเทศเกาหลีหนังแนวสยองขวัญไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าไหร่ ผมคิดว่าหนังสยองขวัญของไทย เป็นหนังที่มีคุณภาพเป็น
อันดับต้น ๆ เลยครับ ครั้งนี้ผมเองก็ได้ร่วมงานกับผู้กำกับและทีมงานคนไทยด้วยตัวเอง เป็นจริงสมคำร่ำลือ และหนังสยองขวัญของไทยมีความเรียล เลยน่าจะไปได้ไกลเป็นอันดับท็อป ๆ ในตลาดโลก และหากต้องเปรียบเทียบกันจริง ๆ หนังเกาหลีเองก็ต้องพยายามมากขึ้นไปอีกครับ”
โต้ง บรรจง
“ในมุมมองของผมคล้าย ๆ กับที่คุณนา ฮง-จินบอก หนังผีเกาหลียุคหลังๆ น้อยลงนะครับในความรู้สึกของผม มันเหมือนมีทริลเลอร์เยอะกว่า หนังผีก็มีบ้าง แต่เรื่องที่มาถึงเราให้ได้ดูมันมีน้อย แต่ไทยหนังสยองขวัญก็มีอยู่บ้าง และหนังไทยแนวสยองขวัญก็มีถูกพูดถึงอยู่บ้างในนานาชาติ ผมรู้สึกว่ามันเป็นการผสมที่แปลกดีที่เขามาทำร่วมกันในครั้งนี้”
10.หลายคนมองว่า The Wailing คือร่างทรงในฉบับภาคไทย คุณนา ฮง-จิน มีความรู้สึกอย่างไร
คุณนา ฮง-จิน
“ร่างทรงก็ต้องดีกว่า The Wailing อยู่แล้วครับ หากผู้ชมคนไทยที่เคยชมเรื่อง The Wailing ผมเป็นคนกำกับเรื่องนั้นเองครับ เรื่องร่างทรงมีความเป็นศิลปะมากกว่า มีความหมายและน่ากลัวกว่าเรื่องนั้นครับ ทุกคนอย่านำมาเปรียบเทียบกันเลยครับ”
โต้ง บรรจง
“จริง ๆ ไม่กล้าไปเทียบเขาเลยครับ เพราะหนังเขาคลาสสิกแล้ว ผมว่าเป็นอีกรสชาติหนึ่งมากกว่า เป้าหมายที่คล้ายกันอย่างหนึ่งคือเป็นหนังที่มีบรรยากาศเฉพาะตัวสุด ๆ เหมือนกัน”
9.องค์ประกอบไหนของเรื่องร่างทรงที่โดดเด่นที่สุดในมุมมองของคนทำหนังเกาหลี
คุณนา ฮง-จิน
“ในโลกปัจจุบันที่เราอยู่ เป็นโลกที่เปี่ยมไปด้วยโชคชะตา ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น พวกเราเองก็ยังเชื่อในเทพเจ้าอยู่ครับ และในภาพยนตร์เรื่องร่างทรงก็เล่าย้อนไปถึงในครั้งสมัยก่อนว่าเทพคืออะไร ความเชื่อคืออะไร และพยายามจะเล่าเรื่องเหล่านั้นออกมา ผมว่าจุดเด่นของหนังเรื่องนี้คือความเสมือนจริงในการถ่ายทำ และเป็นเรื่องราวที่อยากจะนำมาเสนอมานานแล้ว เรื่องความเชื่อ เรื่องเทพ เรื่องผี เรื่องร่างทรง เป็นหนังที่ยังไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อน มันเลยกลายเป็นจุดเด่น และความแปลกใหม่”
โต้ง บรรจง
“ผมว่าจุดเด่นคือสไตล์ที่เราเลือกด้วยแหละครับ การที่เราดีเทลมาก ๆ เรื่องการสืบทอดสายเลือดร่างทรง ซึ่งผมเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีการสืบทอดเป็นครอบครัว และพอมีโครงเรื่องมาแบบนี้ ทำให้เราก็มาคิดเพิ่ม ได้ไปเจอนั่นเจอนี่ ก็เลยสนใจ”
11.สถานการณ์โควิดที่ผ่านมามีผลกับการถ่ายทำเรื่องหนังร่างทรงไหม
โต้ง บรรจง
“มีผลมากเลยครับ แต่ว่าเรายังโชคดีเหมือนกัน ครึ่งแรกเรามีถ่ายให้ญดาไปลดน้ำหนัก ช่วงนั้นโควิดยังเป็นระลอกแรก เราก็ยังไปดูโลเกชั่นได้ และเริ่มดีขึ้นทำให้เรากลับมาถ่ายได้ พอปิดกล้องปุ๊บกลับมาหนักเลย.
12.ในมุมมองคุณโต้งเบรนด์ความเป็นไทย และความเป็นเกาหลีอย่างไร
“ผมว่ามีอะไรบางอย่างที่อาจจะไม่คุ้นเคยกับขนบคนดูหนังไทยไปบ้าง ส่วนตัวผมไม่คิดเลยว่าจะเป็นหนังไทยหรือเกาหลี ผมคิดว่าเรากำลังสร้างบางอย่างที่เหมาะกับเรื่องนี้จริง ๆ คือทุกอย่างที่เกิดในหนัง มันเกิดจากการที่เราปูเรื่องไว้หมดแล้ว ซึ่งมันอาจจะเป็นรายละเอียดที่คุณนา ฮง-จิน บอกผมเองแหละ ว่าหนังเรื่องนี้ อยากให้คนดูค่อย ๆ ประติดประต่อด้วยตัวเอง สิ่งที่เกิดในหนังเราบอกไว้หมดแล้ว เพียงแต่อาจจะไม่ได้
บอกตรง ๆ แต่คุณต้องไปดูเองว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ บางรสชาติอย่างผมว่ามันเป็นความแปลกใหม่ของหนังไทยเหมือนกัน ซึ่งตัวผมเองตื่นเต้นที่จะได้ทำ และเป็นหนังที่ผมอยากให้ผู้ชมได้ดูในโรงภาพยนตร์”
“ร่างทรง” หนังสยองขวัญ เตรียมเข้าร่าง พร้อมเข้าโรง 28 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์